วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อาเซียน

อาเซียน



ความเป็นมาของอาเซียน

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมอาสา หรือ Association of South East Asia ขึ้นเพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่ดำเนินการได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่าง ประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซียจนกระทั่งต่อมามีการฟื้นฟูสัมพันธภาพระหว่างประเทศขึ้น จึงได้มีการแสวงหาลู่ทางจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาค "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" และพันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีการลงนาม "ปฏิญญากรุงเทพ" ที่พระราชวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 จาก ปฏิญญาอาเซียน ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกก่อตั้ง 10ประเทศ ได้แก่ ทุกประที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้น ติมอร์-เลสเต้ 

ความประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มอาเซียนขึ้นมาเกิดจากความต้องการสภาพแวดล้อมภายนอกที่มั่นคง (เพื่อที่ผู้ปกครองของประเทศสมาชิกจะสามารถมุ่งความสนใจไปที่การสร้างประเทศ) ความกลัวต่อการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ความศรัทธาหรือความเชื่อถือต่อมหาอำนาจภายนอกเสื่อมถอยลงในช่วงพุทธทศวรรษ 2500 รวมไปถึงความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การจัดตั้งกลุ่มอาเซียนมีวัตถุประสงค์ต่างกับการจัดตั้งสหภาพยุโรป เนื่องจากกลุ่มอาเซียนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นชาตินิยม




วัตถุประสงค์


             วัตถุประสงค์ที่สำคัญในการจัดตั้งอาเซียน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ และองค์การระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาในโรงเรียน เพื่อเตรียมประชากรให้พร้อมกับการเป็นสมาคมอาเซียน โดยกระทรวงศึกษาธิการได้มีเป้าหมายในการให้เยาวชนไทยทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนก่อนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ซึ่งมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการใช้ติดต่อในประชาคมอาเซียนรวมถึงภาษาของประเทศต่างๆในอาเซียนอีก 9 ประเทศ การจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาจึงจะช่วยในการอำนวยความสะดวกแก่ท้องถิ่นในการสร้างความตระหนักในเรื่องการเป็นประชาคมอาเซียน

ประเทศสมาชิกอาเซียน




อาเซียน

อาเซียน



ความเป็นมาของอาเซียน

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมอาสา หรือ Association of South East Asia ขึ้นเพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่ดำเนินการได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่าง ประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซียจนกระทั่งต่อมามีการฟื้นฟูสัมพันธภาพระหว่างประเทศขึ้น จึงได้มีการแสวงหาลู่ทางจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาค "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" และพันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีการลงนาม "ปฏิญญากรุงเทพ" ที่พระราชวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 จาก ปฏิญญาอาเซียน ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกก่อตั้ง 10ประเทศ ได้แก่ ทุกประที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้น ติมอร์-เลสเต้ 
ความประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มอาเซียนขึ้นมาเกิดจากความต้องการสภาพแวดล้อมภายนอกที่มั่นคง (เพื่อที่ผู้ปกครองของประเทศสมาชิกจะสามารถมุ่งความสนใจไปที่การสร้างประเทศ) ความกลัวต่อการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ความศรัทธาหรือความเชื่อถือต่อมหาอำนาจภายนอกเสื่อมถอยลงในช่วงพุทธทศวรรษ 2500 รวมไปถึงความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การจัดตั้งกลุ่มอาเซียนมีวัตถุประสงค์ต่างกับการจัดตั้งสหภาพยุโรป เนื่องจากกลุ่มอาเซียนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นชาตินิยม




วัตถุประสงค์


             วัตถุประสงค์ที่สำคัญในการจัดตั้งอาเซียน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ และองค์การระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาในโรงเรียน เพื่อเตรียมประชากรให้พร้อมกับการเป็นสมาคมอาเซียน โดยกระทรวงศึกษาธิการได้มีเป้าหมายในการให้เยาวชนไทยทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนก่อนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ซึ่งมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการใช้ติดต่อในประชาคมอาเซียนรวมถึงภาษาของประเทศต่างๆในอาเซียนอีก 9 ประเทศ การจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาจึงจะช่วยในการอำนวยความสะดวกแก่ท้องถิ่นในการสร้างความตระหนักในเรื่องการเป็นประชาคมอาเซียน

ประเทศสมาชิกอาเซียน


ความสวย



เคล็ดลับความสวย ใบหน้าเนียนขาวใสด้วยสตรอเบอร์รี



                เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ใบหน้าของเราจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไม่สดใสเหมือนวัยเยาว์ มักจะมีริ้วรอยต่างๆทำให้แลดูแก่กว่าวัย และแม้ในวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวบางคน ก็มีไม่น้อยที่มีริ้วรอยจนดูแกกว่าอายุ อาจเกิดจากการได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียด หรือการโดนแดดลมบ่อยๆ เคล็ดลับความสวย ในตอนนี้จะใช้สตรอเบอร์รี มาบำรุงผิวหน้าเพื่อให้หลีกไกลจากริ้วรอย ไฝฝ้าและจุดด่างดำบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าของคุณแลดูสดชื่น เนียนขาวใสอมชมพู เหมือนวัยแรกรุ่นเลยทีเดียว มาลองทำตามกันเลยดีกว่าค่ะ


* ขั้นตอนแรก เตรียมสตรอเบอร์รีประมาณ 8-10 ผล เครื่องปั่นหรือส้อม ที่คาดผมหรือหมวกคลุมสำหรับอาบน้ำ


* ขั้นตอนที่สอง ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้า ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนู เก็บผมให้เรียบร้อยด้วยที่คาดผมหรือหมวกคลุมผมสำหรับอาบน้ำ


* ขั้นตอนที่สาม นำสตรอเบอร์รีที่เตรียมไว้ มาใช้ส้อมยีให้เละ แต่ถ้าจะใช้เครื่องปั่น ก็อย่าปั่นให้ละเอียดจนเกินไป


* ขั้นตอนสุดท้าย พอกใบหน้าด้วยสตรอเบอร์รีที่เตรียมไว้ให้ทั่ว โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้นานประมาณ 25-30 นาที ห้ามเคลื่อนไหวใบหน้าเด็ดขาด เมื่อได้เวลาแล้วให้ทำความสะอาดใบหน้าด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้า

ความสวย


เคล็ดลับความสวย ใบหน้าเนียนขาวใสด้วยสตรอเบอร์รี



                เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ใบหน้าของเราจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไม่สดใสเหมือนวัยเยาว์ มักจะมีริ้วรอยต่างๆทำให้แลดูแก่กว่าวัย และแม้ในวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวบางคน ก็มีไม่น้อยที่มีริ้วรอยจนดูแกกว่าอายุ อาจเกิดจากการได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียด หรือการโดนแดดลมบ่อยๆ เคล็ดลับความสวย ในตอนนี้จะใช้สตรอเบอร์รี มาบำรุงผิวหน้าเพื่อให้หลีกไกลจากริ้วรอย ไฝฝ้าและจุดด่างดำบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าของคุณแลดูสดชื่น เนียนขาวใสอมชมพู เหมือนวัยแรกรุ่นเลยทีเดียว มาลองทำตามกันเลยดีกว่าค่ะ


* ขั้นตอนแรก เตรียมสตรอเบอร์รีประมาณ 8-10 ผล เครื่องปั่นหรือส้อม ที่คาดผมหรือหมวกคลุมสำหรับอาบน้ำ


* ขั้นตอนที่สอง ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้า ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนู เก็บผมให้เรียบร้อยด้วยที่คาดผมหรือหมวกคลุมผมสำหรับอาบน้ำ


* ขั้นตอนที่สาม นำสตรอเบอร์รีที่เตรียมไว้ มาใช้ส้อมยีให้เละ แต่ถ้าจะใช้เครื่องปั่น ก็อย่าปั่นให้ละเอียดจนเกินไป


* ขั้นตอนสุดท้าย พอกใบหน้าด้วยสตรอเบอร์รีที่เตรียมไว้ให้ทั่ว โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้นานประมาณ 25-30 นาที ห้ามเคลื่อนไหวใบหน้าเด็ดขาด เมื่อได้เวลาแล้วให้ทำความสะอาดใบหน้าด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้า

มังคุด


เคล็ดลับความสวย ใบหน้าเนียนขาวใสด้วยสตรอเบอร์รี


                เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ใบหน้าของเราจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไม่สดใสเหมือนวัยเยาว์ มักจะมีริ้วรอยต่างๆทำให้แลดูแก่กว่าวัย และแม้ในวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวบางคน ก็มีไม่น้อยที่มีริ้วรอยจนดูแกกว่าอายุ อาจเกิดจากการได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียด หรือการโดนแดดลมบ่อยๆ เคล็ดลับความสวย ในตอนนี้จะใช้สตรอเบอร์รี มาบำรุงผิวหน้าเพื่อให้หลีกไกลจากริ้วรอย ไฝฝ้าและจุดด่างดำบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าของคุณแลดูสดชื่น เนียนขาวใสอมชมพู เหมือนวัยแรกรุ่นเลยทีเดียว มาลองทำตามกันเลยดีกว่าค่ะ

* ขั้นตอนแรก เตรียมสตรอเบอร์รีประมาณ 8-10 ผล เครื่องปั่นหรือส้อม ที่คาดผมหรือหมวกคลุมสำหรับอาบน้ำ

* ขั้นตอนที่สอง ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้า ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนู เก็บผมให้เรียบร้อยด้วยที่คาดผมหรือหมวกคลุมผมสำหรับอาบน้ำ

* ขั้นตอนที่สาม นำสตรอเบอร์รีที่เตรียมไว้ มาใช้ส้อมยีให้เละ แต่ถ้าจะใช้เครื่องปั่น ก็อย่าปั่นให้ละเอียดจนเกินไป

* ขั้นตอนสุดท้าย พอกใบหน้าด้วยสตรอเบอร์รีที่เตรียมไว้ให้ทั่ว โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้นานประมาณ 25-30 นาที ห้ามเคลื่อนไหวใบหน้าเด็ดขาด เมื่อได้เวลาแล้วให้ทำความสะอาดใบหน้าด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้า